onsdag 7. oktober 2015

หางานทำ ตอน(2) เสิร์ฟร้านอาหาร

          ทำงานร้านอาหารที่นอร์เวย์ ตำแหน่งเด็กเสิร์ฟ....

          การหางานก็ตามเว็บยอดฮิตของที่นี่เลย คือ เว็บของ Nav.no กับ Finn.no และก็ส่ง CV และ Søknad ไป ตามที่อยู่รายละเอียดที่เว็บ
          I usually find jobs at Nav.no and Finn.no website.

          ตอนแรกที่เลือกสมัครงานที่นี่เพราะ เห็นว่าเป็นร้านอาหารชื่อดัง น่าจะมีอะไรดีๆ ให้พนง. เช่น เงินเดือน การทำงาน สภาพแวดล้อม บลาๆ เราก็เลยลองเสี่ยงดู

          แอดมินส่งใบสมัครไปที่ร้านอาหารชื่อดังเมื่อวันพุธที่ 2 กย.15 และได้รับการติดต่อกลับมาให้ไปสัมภาษณ์งานในวันถัดมา คือวันที่ 3 กย.15 เวลา 17.30 แอดมินก็ไป ได้นั่งสัมภาษณ์ด้านนอก นั่งคุยตรงบาร์ที่ยังไม่เปิด เป็นการสัมภาษณ์งานที่แบบไม่เป็นทางการเลย แต่ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น ได้เซ็นสัญญาการทดลองงานเป็นเวลา 3 วัน ได้วันละ 300 kr. เริ่มทำงาน 4,5,8 กย. 15 คือทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากกกกกกกกกกกกกก (เล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนบอกว่า ''หูย'....อะไรอะ ได้เงินแค่วันละ 300 เองเหรอ เคี่ยวเว่อ ปกติเค้าก็คิดเป็นชั่วโมงปกติตามร้านทั่วไป'' ก็ไม่รู้อะ นางให้เท่านี้ ก็เอาเท่านี่ล่ะค๊าาา)
          I sent my CV and my application to No.... Restaurant and after one day, I got email about interview the next day. I had interview out side and sat at the bar. She said she wanted me as an apprentice for 3 days. I had never worked in a restaurant before, so it was difficult for me. She gave me 300 kr. per day.
          หน้าที่การทำงานก็คือ เป็น พนง.เสิร์ฟอาหารนั่นเอง แอดมินไม่เคยมีปสก.การเสิร์ฟอาหารมาก่อน เคยแต่ไปช่วยเค้าเสิร์ฟอาหารแค่ 2 วัน ขนาดรินไวน์ยังหกเลย เง๊อะๆ ง๊ะๆ

          ภายในร้าน 80% เป็นคนจีน ส่วนมากพวกเค้าก็จะพูดภาษาจีนกัน บ้างก็พูดภาษานอร์ชไม่ได้ ก็ต้องสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนใครพูดภาษานอร์ชได้ ก็สื่อสารเป็นภาษานอร์ช ดังนั้น ก็พูดสองภาษาล่ะ มึนตึ่บ 
          There were so many Chinese staff and some of them could not speak Norwegian, but of course they could speak English.
          ภายในร้านดูดี สวยงาม มีระดับ แบ่งเป็นโซนซูชิบาร์ด้วย และโซนรับประทานอาหาร สองโซนด้านใน และด้านนอก แถมยังมีโซนบาร์ด้านนอกอีกด้วย จะบอกว่ายังไม่เคยมาทานอาหารร้านนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มา และได้มาทดลองงานเลย
          The restaurant looks nice .
วันแรก
          เริ่มงานเวลา 16.00 - 23.00 ไปถึงก่อนเวลา 20 นาที ก็เลยไปกินอาหารก่อน อาหารก็หยิบจากในครัว และถือไปในห้องกินอาหาร ทางเดินเข้าไปนั้น แบบอึ้งอะ...เล็กมาก แบบคนเดินสวนกันไม่ได้ เลี้ยวขวา - ทางตรงยาว - เลี้ยวซ้าย - ตรงไปห้องน้ำ และเลี้ยวขวาเป็นที่กินอาหาร (ประตูห้องน้ำกับ ประตูทางเข้ากินข้าวจ๊ะเอ๋กัน ประตูตรงที่กินอาหารเป็นแค่ ที่รูดกั้นบางเบา) 
          I began to work 16.00-23.00. I could come to the restaurant early and I could eat food from the kitchen before I began to work.

          เปิดเข้าไป โอ้แม่เจ้า!! นี่ คือที่รับประทานอาหารของร้านอาหารชื่อดังในเมืองออสโลสำหรับพนง.เหรอนี่ เล็กมาก, สิ่งแวดล้อมแย่, ประมาณยาว 2 เมตร กว้าง 1 เมตร เห็นแบบนี้แล้วเซอร์ไพร์มาก และอาหารกลิ่นแบบจะเสียแหล่ไม่เสียแหล่ แต่ก็กิน ไม่อยากมากเรื่อง
          แรกๆ ก็เรียนรู้โน่นนี่ไปคร่าวๆ เช่น การจำแนกแก้วไวน์ ไวน์นั้นใช้แก้วนี้ ไวน์นี้ใช้แก้วนั้น จานโน๊น จานนี้ สอนการหิ้วแก้วไวน์ได้หลายๆ ใบภายในมือเดียว ฯลฯ พอช่วงสัก ห้าโมงเย็นนิดๆ ได้อนุญาตให้พัก 5 นาที หลังจากพัก ก็ทำงานแบบ Non Stop เลยจ้าาาาา ห้ามยืนอยู่เฉยๆ ต้องหาอะไรทำ รินน้ำไป เค้าสั่งให้ทำอะไรก็ทำ แต่ถึงเวลาจริง มันยุ่ง เค้าก็ไม่มีเวลามาสั่งเรา เราก็ได้แต่ยื่นบื้อบ้างเป็นครั้งคราว ยัน 4 ทุ่มครึ่งจน ได้รับอนุญาตให้ไปพักทานอาหารได้ 15 นาที!!!  แน่นอนเขียนไม่ผิด 15 นาที ต้องรีบๆๆๆ กิน นั่งยันไม่ทันหายเมื่อยเลย ก็ต้องออกไปทำงานต่อ วันแรก เมื่อยมากและมีอะไรที่ต้องเรียนรู้เยอะ เช่น การหิ้วแก้วไวน์หลายๆ ใบ, การถือจานหลายใบ, การจัดโต๊ะ, การเก็บโต๊ะ, การเสิร์ฟ, จำเบอร์โต๊ะ, บลาๆๆๆ ทุกอย่าง เน้นท่วงท่าที่สวยงาม

          First day I had so many things to learn, for example, how to carry wine glasses, different style of wine glasses, different dishes etc. About 17.00, I was allowed to take a 5-minute break, and then work non stop to about 22.00. I was allowed to have a 15-minute break to eat dinner.
          It was difficult to remember the table numbers, because the tables didn't have number plates, and the other staff only memorized them. 

วันที่สอง 
          ได้ออกไปทำงานด้านนอก เป็นโซนสูบบุหรี่ได้ โอ๊ย...เกือบตาย เหม็นกลิ่นบุหรี่มาก ทำงานไป ดมกลิ่นบุหรี่ไป นรกสุดๆ แสบตา แสบจมูกไปหมด วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก คนที่ร่วมงานด้วยแทบไม่ได้สอนอะไร แค่บอกเทคนิค การถางเนื้อเป็ดออกจากกระดูก เพราะเป็ดทอดร้านนี้ขายดีมากกกกกก 70% ของคนที่มาร้านนี้ต้องสั่ง และพนง.เสิร์ฟ จะต้องถางกระดูกออกก่อน ก่อนจะถางออกนั้น ต้องเอาไปโชว์ให้ลูกค้าดูก่อนนะว่า ''นี่เป็ดทอดนะ เดี๋ยวชั๊นจะเอากระดูกออกให้'' วันๆ ถางแต่กระดูกเป็ดออกไม่รู้กี่จาน อ้อ วันนี้ ได้พักรอบเดียว คือตอน สี่ทุ่ม และเหมือนเดิมได้พักกินอาหารแค่ 15 นาที  (จะพักแต่ละครั้ง ต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้าก่อน เช่น นางเดินมา แล้วบอกว่า เธอไปพักได้ แต่ถ้านางไม่บอก หรือนางลืม เราก็ไม่มีสิทธิพัก)
          The second day I had to work outside, where it is allowed to smoke, and I didn't like it. It was not much new to learn today, but I learned how to remove bones out of "Crispy Duck". And I was allowed only one break at 22.00, and that was my 15-minute dinner break.
เป็ดจานนี้ อาหารนิยมของร้าน 
วันที่สาม 
          วันสุดท้ายของการทดลองการทำงาน ได้ออกไปทำงานข้างนอกอีกแล้ว!! วันนี้ได้เสิร์ฟมากขึ้น บางทีก็กลัวเสิร์ฟกาแฟหก เพราะต้องแบกถาด เทกาแฟบนถาดในขณะที่ถือ และวางให้ลูกค้า คือปกติแล้ว เป็นคนที่ซุ่มซ่ามมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เลยต้องทำช้าๆ แล้วลูกค้าก็กลัวไง ฮ่าๆๆๆๆ กลัวเราทำหก มีหลายครั้งที่โดนตินะ เช่น การเก็บจานให้เก็บมาหลายๆ ใบซ้อนกันบนมือ, ห้ามถือแก้วเฉยๆ เสิร์ฟ หรือเก็บ ต้องใช้ถาดเท่านั้น ต้องโน่น ต้องนี่ คือกฎคอนเซปของร้านคือ ทุกอย่างต้องสวยงาม ไอเราก็เง๊อะง๊ะไง 
          Last day as an apprentice. I had to work outside again and today I served very much, because the boss wanted to see my skills. But as you know, I never had restaurant experience before, but I did my best 
          บางทีก็หน้าแหกหลายรอบ เช่น บอกพนง.คนนึง เธอๆ โต๊ะนั้นเค้าจะจ่ายเงินน่ะ นางบอก มาบอกอะไรชั๊น ชั๊นไม่ได้ทำหน้าที่นี้ คือ เราก็ไม่รู้ ก็เห็นนางเดินๆๆๆ สยายคอสอดส่องไปมา ก็เห็นช่วยทำโน่นนี่ ก็นึกว่าบอกนางได้ แต่คือนางแต่งตัวแตกต่างไง แต่งสูท กระโปรง ไรงี๊ เป็นต้น

          สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเรา คือ การเสิร์ฟและการเก็บจาน เพราะจานมีน้ำหนักค่อนข้างมาก และแขนเราเล็กติ๊ดเดียว มีพลังแขนไม่พอ ไม่มีกำลังข้อแขนและนิ้ว (นิ้วสั้นอีก)
          The difficult thing was to clear the table and serving, because I have so small arm, short fingers and I couldn't carry so many dishes. It was very heavy.
ภาพการเก็บจาน (Clear the table)

- ภาพแรก สิ่งที่เราทำคล้ายๆ กับในรูป ในรูปใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง(เราใช้นิ้วโป้กับนิ้วก้อย) ถือจานอาหารจานแรก ที่เป็นที่วางของเศษอาหาร และมีดส้อม (มีดส้อม ก็ต้องไขว้กันให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้มันตกหล่น)

- ภาพถัดลงมา เก็บอีกจานมาวางไว้บนข้อแขน และใช้มือขวา กวาดอาหารจากจานบนลงมาจานล่าง

- ภาพสุดท้าย ก็ทำซ้ำๆๆๆๆ วางบนข้อเรื่อยๆ กวาดเศษอาหารลงมาจานล่าง และไขว้มีดส้อม
ต่อไป 
ภาพการกวาดอาหารจากอีกจาน ไปอีกจาน
          เราจะไม่ใช้ช้อนใดช้อนหนึ่งกวาดอาหาร แต่เราจะใช้ ช้อนและส้อม จับดังภาพ หนีบอาหารจานอีกจานไปอีกจาน (ไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะเนี่ย)

          วันนี้ได้พักสองรอบ วู๊ววววว รอบแรกก็ประมาณ เกือบหกโมงเย็น 5 นาทีเหมือนเดิม และรอบสุดท้ายแน่นอน วันนี้วันอังคาร ลูกค้าเงียบไว ก็ได้พักตอน 3 ทุ่ม โชคดีไป พอพักทานอาหารเสร็จ ก็ออกมาคุยกับหัวหน้า เรื่องงาน สรุปดังนี้
          I was allowed to have a 5-minute break (Yeah!!), and had break again around 21.00, because the restaurant didn't have many customers. And the boss talked to me about my apprentice period. 

นางบอกว่า
- ฝึกงานต่อเป็นเวลา 1 เดือน
- ได้ 110 kr. ต่อชั่วโมง หลังจากฝึกงาน เพิ่มเป็น 120 kr.
- ไม่มีพิเศษทำงานเย็น-มืด หรือวันหยุด
- ทิป ไม่ต้องหักภาษี แต่ก็หารกับเพื่อนในร้าน

          *และหลังจากฝึกงาน นางไม่รับปากว่าจะได้ทำ Heltid หรือ Deltid หรือ อาจจะไม่ได้อะไรเลย

          จะบอกว่าเราทำงานแม่บ้านโรงแรมได้ 152 kr. มีพิเศษวันหยุด พิเศษกะเย็น บางทีก็ได้ทิป บางทีก็เก็บขวดไปหยอดตู้ได้หลายตังด้วย
         เราก็แบบ ห๊าาาาาา ไม่ไหวนะคะ อย่างนี้ ทำงานดึกไม่มีเงินพิเศษปลวกอะไรเลย ทำงานเยี่ยงทาส หนัก เครียด และกดดันมาก พักก็แค่ 15 นาที สภาพแวดล้อมการทำงานก็แย่ค่ะ ดิชั๊นขอบาย  (ต้องบอกก่อนว่า เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ การทำงานร้านอาหารมาก่อน ก็เลยหวังว่า จะได้รายชม.เยอะกว่านี้ และไม่เคยรู้ว่า เค้าไม่มีเงินพิเศษ ทำงานดึก ส.อา บลาๆ)

          แต่ยังไงเราก็ยังมีคู๊ชเรียนเหมือนเดิม รับเงินจากนาฟเหมือนเดิมสบายใจกว่าเยอะ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เสียอะไร ถ้าเกิดเลือกที่จะไปฝึกกับนาง เกิดอยู่ๆ นางบอกว่า เธอ ไม่เหมาะกับงานนี้ เราก็กลับไปเรียนต่อไม่ได้ ไม่เสี่ยงดีกว่าอะนะ 
          I actually go to office course every day and get money from Nav, about 7,000 kr. /month. I didn't want to risk losing my course if I can't get a full time job.

          หลายคนที่ทำงานร้านนี้ เป็นนักเรียนนักศึกษาซะส่วนใหญ่ เค้าอาจจะยอมรับเงินรายชั่วโมงแบบนี้ได้ เราก็เข้าใจว่ามีทิปด้วย แต่ใครจะไปรู้ล่ะ ทิปมากทิปน้อย สำหรับเรา 
          การได้เรียนรู้ ได้ทดลองงาน ในแขนงงานร้านอาหารนั้น มันให้อะไรกับเราเยอะ และเราก็เข้าใจว่า เราไม่เหมาะกับการทำงานนี้แน่ๆ เราจะได้มองข้ามมันไป และไม่กลับมาลองมันอีก เป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่ง!! และมันทำให้เรารู้อีกว่า งานเสิร์ฟร้านอาหารไฮๆ แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นงานหนักอย่างหนึ่ง ที่ต้องเสิร์ฟจานหลายๆ ใบบนมือบนแขน แขนก็จะหัก 
          It was a good experience as an apprentice, and I know more about restaurant branch, and also that it was not for me.
                     (แต่จริงๆ เราก็ยังมีงานแม่บ้านโรงแรมอยู่นะ ยังไม่ได้ลาออก จะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แค่โทรไปบอกเค้าว่า เราว่าง.... แต่เราไม่อยากแล้ว เพราะด้วยข้อเสียที่มันเยอะมากเกินไป ก็เลยหางานใหม่นี่ดีกว่า)  
          สรุป วันนั้นได้กลับบ้านไว สามทุ่มครึ่ง นางบอกว่า เธอจะกลับเลยก็ได้นะ หรือจะอยู่ช่วยต่อก็ได้ เราเลือกทันที กลับบ้าน ฮาๆๆ วันรุ่งขึ้น ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้าอีก เห้อ...ชีวิตช่างวุ่นวายจริงๆ ถ้าได้งานประจำชีวิตคงจะนิ่งกว่านี้แหละ
          พอวันรุ่งขึ้น ไปเล่าให้เพื่อนฟังที่โรงเรียน เพื่อนบอก หูย อะไรเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย เพราะร้านออกจะดูดีมีระดับขนาดนี้ เพื่อนยังบอกอีกว่า ไม่ไปกินแล้วร้านนี่แล้ว ฮ่าๆๆๆ ซะงั๊นอะ เราแค่พูดความจริงนะ ไม่ได้ดิสเครดิสร้านเลยสักนิ๊ด อะไรที่ว่าดีก็ดี อะไรที่ว่าแย่ก็แย่ตามนั๊นนะจ๊ะ

เรื่องเล่าร้านอาหารอื่นจากเพื่อน เป็นร้านที่ไฮๆๆ โซมาก เพื่อนบอกว่า นางทำงานแบบไม่มีเวลาพักเบรคเลย ได้พักแค่ตอนไปเข้าห้องน้ำตอนหย่อนก้นนั่งเท่านั้น แล้วงานก็หนักอะ หูย...อะไรจะโหดขนาดนั้นนี่ (ดิฉันขอผ่านเลย หุหุ)

ส่วนอีกเรื่อง เป็นเพื่อนฟิลิปปินส์ นางทำงานเป็นผู้ช่วยหัวหน้า ร้านขายรองเท้ามา 8 ปี เจ้าของร้านเป็นคนนอร์เวย์แท้ แต่โหดและเคี่ยวมาก ตั้งแต่นางทำงานมาเกิน 100% ทุกเดือน ไม่เคยมีวันป่วย หัวหน้าบอกว่า ถ้าเธอป่วย ยังไงก็ต้องมาทำงาน และชั๊นจะพิจารณาเองว่าเธอป่วยจริง และอีกอย่าง เพื่อนทำงานมาเกิน 4 ปี ปกติแล้ว เมื่อทำงานติดต่อกัน เกิน 4 ปี จะได้เปลี่ยนสัญญาเป็นพนักงานประจำโดยอัตโนมัติ แต่นางไม่ได้ จนทนเข้าปีที่ 8 เลยตัดสินใจลาออก 

การทำงานตปท.ใช่ว่าจะดีเสมอไป บ้างเอาเปรียบมากมาย บ้างก็ดีแต่เราไม่รู้ มันก็รวมๆ ปนๆ กันไป หนทางสู้ชีวิตที่ตปท. ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องถึก ต้องทน ต้องสู้ต่อไป ตราบใดที่ยังหาหายใจอะนะ

บทความแนะนำ โดย All about Norway
คลิกที่ลิ๊งด้านล่างได้เลยจ้า 

การเรียนภาษา

การหางาน และ นาฟ

วีซ่า

ความรู้ทั่วไป

รีวิว ที่เที่ยวใน Oslo